วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

แหล่งท่องเที่ยวมรดกโลก (จัตุรัสดูโอโมแห่งปิซ่า)








รายงาน

เรื่อง แหล่งท่องเที่ยวมรดกโลก(จัตุรัสดูโอโมแห่งปิซ่า)

โดย

นาย วารานัย บัวทอง 48135-0028/01
นางสาว นิรมล ดีทู 50137 -0033/01

เสนอ

อ.พิทยะ ศรีวัฒนสาร

รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ศีลปวัฒนธรรมตะวันตกเพื่อการท่องเที่ยว HT 325
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ปีการศึกษา2553


บทนำ

รายงานเรื่อง แหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกที่น่าสนใจ (จัตุรัสดูโอโมแห่งปิซ่า)
ความเป็นมาของการทำรายงาน ได้รับมอบหมาย จาก อาจารย์ พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ให้หาข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลก จัตุรัสดูโอโมแห่งปิซ่า เป็นสถาปัตยกรรม
ที่มีชื่อเสียงและมีความงดงาม ควรค่ากับการมาเยี่ยมชม Campo dei Miracoli หรือ ที่ได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในชื่อ จัตุรัสดูโอโมแห่งปิซา คือบริเวณที่ล้อมรอบด้วยกำแพง ใจกลางเมืองปิซา แคว้นทัสเคนี ประเทศอิตาลี ประกอบไปด้วยสิ่งก่อสร้างหลัก 4 อย่าง ได้แก่ มหาวิหารปิซา (Duomo) หอเอน (Torre) หอศีลจุ่ม(Baptistery) ..และสุสาน (Camposanto)ส่วนคำว่า"กัมโป เดย์ มีราโกลี"นั้นแปลว่า"จัตุรัสอัศจรรย์"ซึ่งต่อไปนี้จะกล่าวถึงรายลเอียดของจัตุรัสดูโอโมแห่งปิซ่า ข้อมูลหล่าวนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ และจะทำให้ท่าน ได้รับความรู้เพื่มขึ้นจากรายงานนี้




ที่ตั้งและภูมิประเทศ

เมืองปิซ่า






ประเทศอิตาลีเมืองปิซ่า ตั้งอยู่บนชายฝั่ง ไทร์เรเนียน (Tyrrhenian ) และ แม่น้ำอาร์โน (Arno River) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในแคว้นตอสกานา ประเทศอิตาลี อยู่ทางตะวันตกของเมือง ฟีเรนเซ (ฟลอเรนซ์) ประมาณ 100กิโลเมตร และทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง เซียนนาปรมาณ 130 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังเป็นมหาอำนาจทางการเดินเรือ ก่อนที่จะตกเป็นของ เมืองฟลอเรนซ์ และ เจโน (Florence and Genoa) อีกด้วย ปัจจุบันแม้ ปิซาจะกลายเป็น มหาวิทยาลัยที่ หลายคนอยากจะเข้ามาศึกษาเมืองนี้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามและมีชื่อเสียงนั้นคือ





The Piazza del Duomo in pisa






กัมโป เดย์ มีราโกลี (Campo dei Miracoli) หรือ ที่ได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในชื่อ จัตุรัสดูโอโมแห่งปิซา คือบริเวณที่ล้อมรอบด้วยกำแพง ใจกลางเมืองปิซา แคว้นทัสเคนี ประเทศอิตาลี ส่วนคำว่า "กัมโป เดย์ มีราโกลี" นั้นแปลว่า "จัตุรัสอัศจรรย์"
เปียซ่า เดล ดูโอโม (Piazza del Duomo) ซึ่งเป็นจัตุรัสที่ได้รับการขนานนาม ว่า "Campo dei Miracoli” หรือ " ทุ่งมหัศจรรย์ ” เพราะเป็นที่ตั้งของหอคอยที่โด่งดัง และ โบสถ์สำคัญ ๆ ที่สง่างามหลายแห่ง ดูโอโม (Duomo) เป็นหนึ่งในตัวอย่างของ สถาปัตยกรรมสไตล์ โรมันเนสค์ (Romanesque) ซึ่งผสมผสานด้วยศิลปะแบบอิสลาม โกธิค และ โรมัน มี อายุตั้งแต่ คริสตศตวรรษที่ 5 – คริสตศตวรรษที่ 16
ประกอบไปด้วยสิ่งก่อสร้างหลัก 4 อย่าง ได้แก่




หอเอนเมืองปิซา







ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม ประเทศอิตาลี เป็น หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร



การสร้าง




Bonanno Pisano

เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 โดย โบนันโน ปิซาโน (Bonanno Pisano)ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ทำให้หอระฆังแห่งนี้เริ่มเอียงไปในทิศตะวันตกเฉียงใต้ตั้งแต่การก่อสร้างทำไปได้ถึงเพียงชั้นที่ 3 ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก พอสร้างเสร็จฐานก็ทรุดลงไปข้างหนึ่ง ทำให้เอียงออกไปจากเส้นดิ่ง 4 เมตร แต่ที่ไม่ล้มลงมา เพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วง เมื่อลากดิ่งลงมาไม่ออกนอกฐานจึงไม่ล้มยังทรงตัวอยู่ได้

หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา ตลอดระยะเวลาตั้งแต่การก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ หอเอนแห่งเมืองปิซ่ามีระยะความเอียงเพิ่มขึ้นทุกๆปีจนเกิดความวิตกกันว่าหอระฆังแห่งนี้จะถล่มลงมาในวันใดวันหนึ่ง ดังนั้นในปี ค.ศ. 1964 รัฐบาลอิตาลีจึงได้เริ่มการศึกษาวิธีการในการคงสภาพของหอเอนแห่งเมืองปิซ่ามิให้เอนไปมากกว่านี้ บรรดานักคณิตยศาสตร์ วิศวกร และนักประวัติศาสตร์จากหลากหลายประเทศถูกเชิญให้เขามามีส่วนร่วมในการระดมสมองในครั้งนี้ หลังจากใช้เวลากับการศึกษาวีธีการกว่า 20 ปี โครงการบูรณะหอเอนแห่งเมืองปิซ่า โดยการตัวอาคารถูกขึงและดึงโดยสาเคเบิลจนตัวอาคารเริ่มขยับเป็นระยะกว่า 45 เซนติเมตร อันเป็นตำแหน่งในปีค.ศ.1838 และได้เปิดให้สาธารณชเข้าชมหอระฆังแห่งนี้ได้อีกครั้งในปี ค.ศ.2001 จากการตรวจสอบอย่างใกล้ชิดจนล่วงมาถึงปี ค.ศ.2008 หอเอนแห่งเมืองปิซ่าก็ได้รับการประกาศว่าหอคอยแห่งนี้ไม่มีการเคลื่อนที่อีกเลยตั้งแต่ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ โครงการเสริมความมั่นคงของหอเอนนี้ ใช้งบประมาณ 26 ล้านยูโร คาดว่าจะช่วยให้ความมั่นคงได้ถึง 200 ปี โครงการนี้ดำเนินงานมามากกว่า 10 ปี ซึ่งรวมถึงการขุดดินทางด้านทิศเหนือ ออกประมาณ 70 ตัน การขุดดินออกนี้ ช่วยให้หอคอยปรับตั้งตรงขึ้นได้ด้วยตัวเอง





ประวัติหอเอนปิซ่าความพยายามในการซ่อมแซม


กาลิเลโอ กาลิเลอิ เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาดไว้ ในปี ค.ศ.1934 เบนิโต มุสโสลินี พยายามจะทำให้หอกลับมาตั้งฉากดังเดิม โดยเทคอนกรีตลงไปที่ฐาน แต่กลับทำให้หอยิ่งเอียงมากขึ้นไปอีก กองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่ยิงปืนใหญ่ใส่หอเอนเมืองปิซา วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1964 รัฐบาลอิตาลี พยายามหยุดการเอียงของหอเอนเมืองปิซา โดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น วิศวกร นักคณิตศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ โดยใช้เหล็กรวมกว่า 800 ตัน ค้ำไว้ไม่ให้หอล้มลงมา ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ.1990 หอเอนเมืองปิซาถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยว เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังขุดดินของอีกด้านหนึ่งออก เพื่อให้สมดุลยิ่งขึ้น และในวันที่ 15 ธันวาคม 2001 หอเอนเมืองปิซาถูกเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง และถูกประกาศว่าสมดุลแล้วใน 300 ปี





ขึ้นทะเบียนมรดกโลก


หลังจากเริ่มทำการปรับปรุง ค.ศ.1987 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli หอเอนเมืองปิซายังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย









มหาวิหารปิซ่า



ตั้งอยู่ที่เมือง
ปิซา
ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม




Baptistry













Diotisalvi







บาปติสทรี (Baptistry ) เป็นตึก ที่มีลักษณะเป็นวงกลม ตั้งอยู่ใกล้กับโบสถ์และ หอเอน เป็นอีกสิ่งก่อสร้างหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในทุ่งมหัศจรรย์ ( Campo dei Miracoli) เป็นตึกทรงกลมที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี สร้างเมื่อปี 1152 โดย ดีโอตีซัลวี (Diotisalvi) และได้รับการต่อเติมด้วย สถาปัตยกรรมสไตล์ต่างๆ ตลอดเวลาสองศตวรรษ รวมทั้งศิลปะแบบ โรมันเนสค์ และ โกธิค เนื่องจากพื้นที่ด้านในนั้น ค่อนข้างกว้างจึงมี รูปปั้นแกะสลักจากหิน เต็มไปหมด และยัง ประกอบไปด้วย อ่างน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ที่สวยงาม และ พื้นสูงที่สร้างโดย นิโคลา ปิซาโน (Nicola Pisano) จุดสำคัญอื่น ๆ ในบาปติสทรีนี้ คือ ห้องเสียงที่ผู้เข้าชม สามารถจะเข้าไปร้องเพลง และลองแต่งเพลงซักบรรทัดดูได้ หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า หอล้างบาป เป็นคริสต์ศาสนสถาน ที่สร้างเป็นอิสระจากสิ่งก่อสร้างอื่นโดยมีอ่างศีลจุ่มเป็นศูนย์กลาง หอศีลจุ่มอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของวัดหรือมหาวิหารซึ่งมีแท่นบูชาและคูหาสวดมนต์ของตนเอง ในวัดสมัย คริสเตียนยุคแรกหอศีลจุ่มจะเป็นสถานสำหรับผู้จะเข้ารีตเรียนรู้เรื่องศาสนาก่อนจะรับศีลจุ่ม และเป็นที่ทำพิธีรับศีลจุ่ม









Camposanto or Cemetery / Holy Field)











Giovanni di Simone


แคมโปซองโต ( Camposanto or Cemetery / Holy Field) ถัดจากโบสถ์ และ บาปติสทรี จะเป็นสุสานแคมโปซองโต ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1278 โดย Giovanni di Simone ตามตำนานกล่าวว่า ดินที่ใช้ใน การสร้างสุสานแห่งนี้นั้น ถูกนำมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และเชื่อว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ มีเพียง พวกอาจารย์ที่มีชื่อเสียง และ สมาชิกครอบครัว เมดิแคน( Medicean family) เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ถูกนำร่างมาฝังไว้ ณ ที่นี้ สุสานแห่งนี้ได้รับ การตกแต่งประดับประดาด้วย ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งวาดโดย ศิลปินผู้เลื่องชื่อ ในศตวรรษที่ 14 นอกจากนี้ยังมี รูปแกะสลัก โลงหิน และ รูปปั้นแบบโรมันอีกด้วย แต่เนื่องจากเกิดสงครามขึ้นในช่วงปี 1944 ทำให้สุสานดังกล่าว ถูกระเบิดลงอย่างหนัก และได้รับ ความเสียหายอย่างมากมาย แต่ก็ได้มีการ บูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นในปี 1990 แม้ในปัจจุบันก็ยังคงซ่อมอยู่ อย่างไรก็ตาม มันยังคงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่เต็มไปด้วย ความงาม ด้านศิลปะ และ หากใครจะมาปิซา คงต้องเลือก ที่จะมาที่นี่ด้วย













สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง








Santo Stefano dei Cavalieri







ซานโต สเตฟาโน ดี คาวาลิเยรี (Santo Stefano dei Cavalieri) ลักษณะที่ โดดเด่นของโบสถ์แห่งนี้ คือ ส่วนด้านหน้า ที่ทำจากหินอ่อน ในศตวรรษที่ 16 โบสถ์แห่งนี้ได้อุทิศให้กับ กองทัพทหารตามคำสั่ง ของ อัศวินของ เซนต์สเตฟาน









Botanical Gardens







สวนพฤกษศาสตร์ (Botanical Gardens) ตั้งอยู่ในใจกลางกรุง ปิซา เดินจากหอเอนเพียง สองสามนาทีก็ถึง สวนอันงดงามแห่งนี้ ถูกพบในช่วงปี 1540 นอกจากจะเป็น สวนพฤกษศาตร์ที่เก่าแก่ ที่สุดในยุโรปแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมของ หุ่นจำลองต่างๆ จากทั่วโลกอีกด้วย ปัจจุบัน สวนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ของมหาวิทยาลัย และ เป็นสถานที่สำหรับพักผ่อนได้เป็นอย่างดี






Lungarno Simonelli





ลังการ์โน ซิมอนเนลลี (Lungarno Simonelli )

เป็นแหล่งเก็บซากเรือจากอ่าวปิซา ในแม่น้ำ อาร์โน ซึ่งมันยังคงลึกพอที่จะพาเรือเข้ามาเทียบได้









Museo Nazionale di San Matteo



มิวโซ นาซยงนาล ดี ซอง มัตติโย (Museo Nazionale di San Matteo ) เป็นสถาปัตยกรรม ที่เกิดขึ้นก่อน และประมาณตอนต้นของยุค เรเนซองซ์โดยศิลปินชื่อดัง เช่น ฟรา แองเจลิโก (Fra Angelico) และ มาซัคคิโอ (Masaccio)



















รูปแบบของศีลปะและองค์ประกอบของสถาปัตยกรรม


ของจัตุรัสดูโอโมแห่งปิซา






สถาปัตยกรรมสไตล์ โรมันเนสค์ (Romanesque) ซึ่งผสมผสานด้วยศิลปะแบบอิสลาม โกธิค และ โรมัน ลักษณะเด่นๆของสถาปัตยกรรมนี้คือความเทอะทะ (massive quality) เช่นความหนาของกำแพง ประตูหรือหลังคา/เพดานโค้งประทุน (barrel vault) เพดานโค้งประทุนซ้อน (double barrel vault) การใช้โค้งซุ้มในระหว่างช่วงเสาหนึ่ง ๆ (arcade) และในแต่ละชั้นที่ต่างขนาดกัน เสาที่แน่นหนา หอใหญ่หนัก และ การตกแต่งรอบโค้ง (เช่น:ซุ้มประตูหรืออาร์เคด (arcade)) ลักษณะตัวอาคารก็จะมีลักษณะเรียบ สมส่วนมองแล้วจะเป็นลักษณะที่ดูขึงขังและง่ายไม่ซับซ้อน หลังคารูปโดมแบบศิลปะแบบอิสลาม มีการเกะสลักลวดลายผนังแบบโกธิค และ เสากลมประตูโค้งแบบโรมัน







ของที่ระลึก



Borgo Stretto and Piazza Vetovaglie









บอร์โก สเตร็ทโต และ เปียซา เวโตเวจลี (Borgo Stretto and Piazza Vetovaglie) เป็นทางเดินที่มีร้านขายของสองฝั่ง ซึ่งจะโด่งดังในเรื่องของตลาดอาหาร นอกจากนี้ ยังมีสินค้าต่างๆ ให้เลือกสรรมากมาย ตั้งแต่ เสื้อผ้า หนังสือ และเต็มไปด้วยผับ และบาร์ที่บรรยากาศดี ที่นี่ยังเป็นแหล่งรวมของ เหล่าวัยรุ่นต่างๆ ยังมีเครื่องดื่มคอกเทลล์ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการดื่มคอกเทลล์ ภายนอกจัตุรัสแห่งปาฏิหาริย์ สองข้างถนนขณะนี้เรียงรายไปด้วยร้านขายของที่ระลึก ทั้งเสื้อยืด หมวก หนังสือ แต่ที่ดูได้รับความนิยมมากที่สุดคงหนีไม่พ้น หอเอนจำลองขนาดเล็กใหญ่ ที่วางขายกันแทบทุกร้าน










สรุป

เมืองปิซ่าเป็นเมืองนี้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามและมีชื่อเสียงนั้นคือจัตุรัสดูโอโมแห่งปิซาคือบริเวณที่ล้อมรอบด้วยกำแพง ใจกลางเมืองปิซา แคว้นทัสเคนี ประเทศอิตาลี ส่วนคำว่า "กัมโป เดย์ มีราโกลี" นั้นแปลว่า "จัตุรัสอัศจรรย์"เปียซ่า เดล ดูโอโม (Piazza del Duomo) ซึ่งเป็นจัตุรัสที่ได้รับการขนานนาม ว่า "Campo dei Miracoli” หรือ " ทุ่งมหัศจรรย์ ” เพราะเป็นที่ตั้งของหอคอยที่โด่งดัง และ โบสถ์สำคัญ ๆ ที่สง่างามหลายแห่ง ดูโอโม (Duomo) เป็นหนึ่งในตัวอย่างของ สถาปัตยกรรมสไตล์ โรมันเนสค์ (Romanesque) ซึ่งผสมผสานด้วยศิลปะแบบอิสลาม โกธิค และ โรมัน มี อายุตั้งแต่ คริสตศตวรรษที่ 5 – คริสตศตวรรษที่ 6ประกอบไปด้วยสิ่งก่อสร้างหลัก 4 อย่าง ได้แก่1.หอเอนเมืองปิซ่าเป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ค.ศ.1987 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศโดยยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza DeสMiracoli หอเอนเมืองปิซายังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย

2.(Baptistery) หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า หอล้างบาป เป็นคริสต์ศาสนสถาน ที่สร้างเป็นอิสระจากสิ่งก่อสร้างอื่นโดยมีอ่างศีลจุ่มเป็นศูนย์กลาง หอศีลจุ่มอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของวัดหรือมหาวิหารซึ่งมีแท่นบูชาและคูหาสวดมนต์ของตนเอง ในวัดสมัยคริสเตียนยุคแรกหอศีลจุ่มจะเป็นสถานสำหรับผู้จะเข้ารีตเรียนรู้เรื่องศาสนาก่อนจะรับศีลจุ่ม และเป็นที่ทำพิธีรับศีลจุ่ม


3.Campo Santo)
จะเป็นสุสานแคมโปซองโต ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1278 โดย Giovanni di Simone ตามตำนานกล่าวว่า ดินที่ใช้ใน การสร้างสุสานแห่งนี้นั้น ถูกนำมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และเชื่อว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ มีเพียง พวกอาจารย์ที่มีชื่อเสียง และ สมาชิกครอบครัว เมดิแคน( Medicean family) เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ถูกนำร่างมาฝังไว้ ณ ที่นี้ สุดท้ายคือมหาวิหารปิซ่า










บรรณานุกรม
th.wikipedia.org/wiki/จัตุรัสดูโอโมแห่งปิซา
www.bloggang.com/viewdiary.php?id=vinitsiri
wapedia.mobi/th/จตุรัสดูโอโมแห่งปิซา

















































1 ความคิดเห็น:

  1. ดีมากคะขอบคุณมากสำหรับความรู้ดีๆที่นำมาแบ่งปันกันนะคะ

    ตอบลบ